วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Link ความรู้เกียวกับกีฬายิงปืน




Guns & Tactics แทคติคการยิงต่อสู้และป้องกันตัว
นิตยสารอาวุธปืน นิตยสารเพื่อการกีฬาและการใช้อาวุธปืนให้ถูกต้อง
prayotcharms ปืนระดับ custom และ นานาสาระกับนายจัมโบ้ ( คุณนที )
Thaiairsoftgun บอร์ดเกี่ยวกับปืน BB
Gun Openfire อุปกรณ์ ซองปืน มีด หาที่ไหนไม่ได้ลองมองหาที่นี่ดูครับ
Thai Airsoft Gun แหล่งรวมของผู้รักกีฬา BB gun
สมาคมกีฬายิงปืนรณยุทธไทย ปฏิทิน ข่าวสาร เกี่ยวกับกีฬายิงปืน IPSC
Petprauma ข้อมูลปืนต่างๆที่ใช้ในเรื่องเพชรพระอุมา น่าสนใจมากครับ
Thailand Outdoor e-Magazine สำหรับคนรักการใช้ชีวิตกลางแจ้ง
Glock-Club คลับสำหรับคนรักกล็อค
Gungold ความรู้ดีๆกับปืน 1911
Gun108 ชุมชนคนรักปืนและกระสุน
Gingamegun หลากหลายกิจกรรมของคนรักปืน

วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

10 หน่วยรบสุดยอด

10 อันดับหน่วยรบพิเศษ ที่โหดและอันตรายที่สุดในโลก

หน่วยรบพิเศษ เป็นหน่วยที่มีความเชี่ยวช่ญทางด้านการรบเป็นพิเศษ ซึ่งในแต่ละประเทศทั่วโลกล้วนแล้วแต่มีหน่วยนี้ทั้งนั้น เพื่อความปลอดภัยของประเทศนั่นเอง ดังนั้นวันนี้เราจะมาดูกันว่า หน่วยรบทั่วทุกมุมโลกนั้นจะมีหน่วยรบจากประเทสไหนบ้างที่จัดได้ว่าเก่ง โหด และอันตรายมากที่สุดในโลก ไปชมกันเลย

อันดับ 10. Berets Verts หรือ French Naval Commandos

หน่วยคอมมานโดแห่งราชนาวี ที่ได้รับฉายาว่า หมวกเบเร่ย์เขียว การฝึกฝนของหน่วยนี้ยากและทรหดมาก ใช้เวลาในการเทรนทั้งสิ้น 20 สัปดาห์ โดยรวมถึง 1 สัปดาห์ ทดสอบ 6 สัปดาห์ เตรียมความพร้อม 4 สัปดาห์ ประเมินผล 7 สัปดาห์ และฝึกทักษะคอมมานโด และอีก 2 สัปดาห์ในการฝึกกระโดดร่ม ซึ่งเป็นการฝึกฝนที่หนักเป็นอย่างมาก โดยพวกเขามีเวลานอนหลับพักผ่อนเพียงแค่ 2 ชม. / วันเท่านั้นเอง

อันดับ 9. MARSOC

หน่วยรบพิเศษแห่งราชนาวีสหรัฐ หรือ The US Marine Corps Forces Special Operations Command หรือชื่อย่อว่า MARSOC ถูกตั้งขึ้นในปี 2007 โดยถือว่าเป็นสุดยอดของหน่วยทหาร ที่จะปฏิบัติภารกิจในเรื่องของความขัดแย้งต่างๆ รวมถึงภาระกิจการออกลาดตระเวน โดยจะมีการฝึกเรียนรู้วิธีการในการเอาตัวรอดในสภาวะธรรมชาติ รวมถึงศิลปะการต่อสู้แบบต่างๆ อีกมากมาย

อันดับ 8. Spetsnaz (Russian Special Purpose Forces)

เป็นหน่วยรบที่มีมาตรฐานที่สูงส่งในการฝึกฝน มีผู้เข้ารับการฝึกเพียง 2 ใน 10 นายที่สามารถผ่านคอร์ส การฝึกที่ต้องใช้เวลานานหลายเดือนนี้ได้ ซึ่งรวมถึงการฝึกการต่อสู้ด้วยมือเปล่า การใช้อาวุธ การเก็บข้อมูลข่าวกรอง การเจรจาเรื่องตัวประกันและการเข้าทำการช่วยเหลือ การควบคุมการจลาจล การรักษาพยาบาลภาคสนาม และมุ่งเน้นการดูแลรักษาร่างกายให้ฟิตอยู่เสมอ

อันดับ 7. U.S. Army Green Berets

United States Army Special Forces ก่อตั้งขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สมาชิกของหน่วยถูกฝึกมาหรับหรับงานก่อวินาศกรรม การกระโดดร่ม การปฏิบัติงานทั้ง บกและทางน้ำ การปีนเขาและสกี ทว่าทหารหน่วยนี้เป็นที่รู้จักในช่วงสงครามเวียดนาม ระหว่าง พ.ศ. 2510 - 2515 เพราะฝึกหน่วยรบนอกแบบให้กองทัพเวียดนามได้ต่อสู้กับการรบแบบกองโจร โดยใช้กลยุทธ์ในแบบฉบับ "setting a thief to catch a thief "

สมาชิกของกรีนแบเรต์เป็นอาสาสมัคร ต้องมีความสามารถทางโดดร่ม ผ่านโปรแกรม การฝึกที่เข้มข้นยาวนานประมาณ 44 - 62 สัปดาห์ คัดผู้ที่ไม่เหมาะสมออกไป และทหารทุกคน ต้องมีทักษะทางด้านต่อสู้ไหวพริบ และความฉลาด การให้อาวุธพิเศษ การติดต่อสื่อสารหรือ ความชำนาญในการใช้ภาษาต่างประเทศ แต่ละกลุ่มของกรีนแบเรต์ จะมีตรารูปโล่เป็นสีต่างๆ ติดอยู่บนหมวก

อันดับ 6. MI-6


หรือที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีในภาพยยนตร์เรื่อง เจมส์ บอนด์ นั่นเอง โดย MI-6 มีที่มาจากหน่วยลับของอังกฤษ (British Secret Service) โดยมี William Melville เป็นหัวหน้า เขาใช้รหัสเรียกแทนตัวเองว่า “M” และสร้างนักสืบมาด้วยตัวเอง แต่เป็นเพียงหน่วยงานเล็กๆ จนกระทั้งหน่วยงานได้รับทุนและขยายตัวจนได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น Secret Service Bureau ในปี 1909 โดยมีงานคู่ขนาดคู่กัน 2 หน้าที่ คือ ป้องกันต่างชาติที่มาทำการโจรกรรมข่าวสารในอังกฤษและสืบข่าวลับในต่างประเทศ

อันดับ 5. US Army Rangers

หน่วยพิทักษ์ป่ายุคใหม่ของสหรัฐอเมริกาจะถือกำเนิดในปี 1942 หน่วยนี้จะออกปฏิบัติการเป็นหน่วยย่อยๆซึ่งมีความยืดหยุ่นและคล่องตัวสูง หน่วยทหารราบพิเศษนี้เชียวชาญในการต่อสู้กับการโจมตีด้วยพลร่มและการโจมตีทางอากาศ ทุกๆยูนิตของหน่วยนี้สามารถไปที่ไหนก็ได้ในโลกภายในระยะเวลา 18 ชั่วโมง

อันดับ 4. The Delta Force

หน่วยบัญชาการปฏิบัติการพิเศษของสหรัฐอเมริกา (USSOCOM หรือ United States Special Operation Command) ก่อตั้งโดย ร.อ. ชาร์ล เอ เบ็ควิค มีภารกิจในการปฏิบัติการพิเศษ ซึ่งส่วนมากเป็นการปฏิบัติการลับ โดยมีสายการบังคับบัญชาที่สั้น นอกจากการสั่งการโดยตรงจากหน่วยบัญชาการปฏิบัติการพิเศษแล้ว ยังรับคำสั่งโดยตรงจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่มีประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเป็นประธาน กำลังพลที่ปฏิบัติงานอยู่ในหน่วยจะต้องผ่านการคัดเลือกเป็นพิเศษ การปฏิบัติงานของหน่วยที่ผ่านมาส่วนมากอยู่ในชั้นความลับ แต่ก็มีเผยแพร่ออกมาอยู่บ้าง

อันดับ 3. Shayetet 13 (Israel)

สุดยอดหน่วยคอมมานโดของราชนาวีอิสราเอล และเป็นหนึ่งในหน่วยปฏิบัติการพิเศษของ กองกำลังป้องกันตนเองของอิราเอลอีกด้วย (ร่วมกับหน่วย Sayeret Matkal และ Shaldag Unit) หน่วย S'13 เชี่ยวชาญในการปฏิบัติการจู่โจมจากทะเลเข้าสู่ฝั่ง การปฏิบัติการตอบโต้การก่อการร้าย การก่อวินาศกรรม การรวบรวมข่าวกรองด้านการเดินเรือ การต่อสู้ชิงตัวประกันทางทะเล และการลำเลียงผู้โดยสาร

อันดับ 2. US Navy SEALs

หน่วย SEAL มีความหมายว่า Sea ทะเล, Air อากาศ, Land พื้นดิน เป็นหน่วยที่ประกอบด้วยกำลังพล 2,000 นาย ที่ต้องผ่านการฝึกตลอดทั้งปีก่อนที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกของหน่วย สัปดาห์ที่ 3 ของการฝึกจะเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด ซึ่งมักจะถูกเรียกว่า 'สัปดาห์นรก' ที่เป็นเรื่องที่ท้าทายสุดๆสำหรับทหารที่เข้ารับการฝึกทั้งทางร่างกายและจิตใจ ด้วยการต้องทนทุกข์ทรมานซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่น การว่ายน้ำในทะเลครั้งละหลายๆไมล์แล้ววิ่งผ่านเข้าไปในบริเวณที่มีทรายหยุ่นๆ

อันดับ 1. SAS (UK) และ SAS-R

หน่วยปฏิบัติการพิเศษทางอากาศของอังกฤษ หรือ British Special Air Service เป็น 'หน่วยที่ดีที่สุดของทั้งหมด best of the best' การฝึกฝนเคี่ยวกรำอย่างหนักของหน่วยนี้ เป็นแบบอย่างของโปรแกรมการฝึกของเกือบทุกหน่วยปฏิบัติการพิเศษของโลก

 ขอบคุณ Clipmass.com

วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Best Camouflage Pattern

เกี่ยวกับชุดพราง



โดย พ.ต.ณัฐสิทธิ์ มงคลธรรม
วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม 2009


ชุดลายพรางของทหาร (Military Camouflage) ได้รับแนวคิดมาจากบรรดาสัตว์เลื้อยคลานหลายชนิด ที่สามารถเปลี่ยนสีตัวเองให้กลืนไปกับสภาพแวดล้อม (camouflage) มนุษย์จึงนำเอาหลักการนี้มาใช้ในยุทธวิธีการรบทางการทหารตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 มาแล้ว โดยเริ่มจากการทาหน้าตาเพื่ออำพรางตัวในป่า น่าประหลาดที่ยุทธวิธีการพรางตัวเริ่มมาจากจุดเล็กๆ ในการฝึกลูกเสือในอังกฤษ ก่อนที่จะมีการนำไปใช้จริงในกองทัพอังกฤษที่ไปประจำการที่อินเดีย ในปี ค.ศ.1857 โดยการทาตัวและหน้าตาเป็นสีต่างๆ ก่อนจะพัฒนาเป็นชุดสีกากี อันมาจากภาษาปากีสถาน แปลว่า ฝุ่น สำหรับเครื่องแบบทหารชุดแรกเกิดที่อังกฤษ ซึ่งนำไปใส่ครั้งแรกในสงครามบัวร์ ที่แอฟริกาใต้ เมื่อปี ค.ศ.1902 เป็นชุดสีกากี




สหรัฐอเมริกาเองก็ออกแบบชุดทหารเป็นสีกากีตามมาติดๆ ในปีเดียวกัน ส่วนรัสเซียนั้นเริ่มมีชุดทหารกับเขาบ้าง ในปี ค.ศ.1908 และประเทศที่ซุ่มออกแบบชุดทหาร อย่าง อิตาลี ระหว่างปี ค.ศ.1906-1909 กลับแหวกแนวด้วยการออกแบบชุดมาเป็นสีเขียวหม่น เพื่อให้เข้ากับภูมิประเทศแถบเทือกเขาแอลป์ ส่วนเยอรมนีที่มีอากาศหนาว ออกแบบชุดทหารเป็นสีเทา ออกมาครั้งแรกในปี ค.ศ.1910


สหรัฐอเมริกาเองก็ออกแบบชุดทหารเป็นสีกากีตามมาติดๆ ในปีเดียวกัน ส่วนรัสเซียนั้นเริ่มมีชุดทหารกับเขาบ้าง ในปี ค.ศ.1908 และประเทศที่ซุ่มออกแบบชุดทหาร อย่าง อิตาลี ระหว่างปี ค.ศ.1906-1909 กลับแหวกแนวด้วยการออกแบบชุดมาเป็นสีเขียวหม่น เพื่อให้เข้ากับภูมิประเทศแถบเทือกเขาแอลป์ ส่วนเยอรมนีที่มีอากาศหนาว ออกแบบชุดทหารเป็นสีเทา ออกมาครั้งแรกในปี ค.ศ.1910

คนที่มาเปลี่ยนเทรนด์ใหม่ของชุดทหารให้มีสีสันขึ้น โดยเพิ่มสีแดงเข้าไป ได้แก่ ฝรั่งเศส ที่ออกแบบกางเกงสีแดงของทหารฝรั่งเศสในสงครามโลกครั้งที่ 1 (ช่วงปี ค.ศ.1915) เข้ากับแจ็กเกตสีน้ำเงิน และเข็มขัดสีดำ นอกจากนี้ ยังเป็นประเทศแรกที่ตั้งฝ่ายออกแบบชุดลายพรางขึ้นอย่างเป็นทางการในปีเดียวกัน โดยการรวมเอาทั้งจิตรกร ประติมากร ศิลปินนักออกแบบฉากมาทำงานร่วมกัน จนได้ออกมาเป็นเสื้อลายพรางในยุคแรก ซึ่งส่วนใหญ่ผลิตจากผ้าตาข่าย และอาศัยการระบายสีลงไปสดๆ

อังกฤษเห็นฝรั่งเศสทำอย่างนั้น ก็ตั้งฝ่ายออกแบบชุดลายพรางของตัวเองขึ้นมาบ้างในปี ค.ศ. 1916 เช่นเดียวกับอเมริกา ในปี ค.ศ. 1917 และพยายามก้าวล้ำกว่า ด้วยการตั้งหน่วยออกแบบชุดลายพรางสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ ในปี ค.ศ.1918 นอกจากนั้น ยังมีเยอรมนี เบลเยียม รัสเซีย โดยเริ่มมีการใช้คำว่า ชุดลายพราง หรือ camouflage เป็นครั้งแรกในอังกฤษ ปี ค.ศ. 1917 ลายพรางจึงกลายเป็นลวดลายที่โด่งดังขึ้นมานับจากนั้น

การพัฒนาเครื่องแบบชุดพรางของ ทบ. ในปัจจุบันเครื่องมือเครื่องใช้ทางทหารมีการพัฒนาไปมาก การตรวจจับฝ่ายตรงข้ามมิได้ใช้สายตามนุษย์เพียงอย่างเดียว หากแต่ยังมีการใช้กล้อง Infrared และการตรวจจับจากดาวเทียม เป็นต้น เครื่องแบบชุดพรางของ ทบ. ที่ใช้ในปัจจุบันซึ่งเป็นลวดลายการพรางตามแบบของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เรียกว่า "Woodland" นั้น ดูเหมือนจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการตรวจจับด้วยเครื่องมือสมัยใหม่นี้ได้ ซึ่งในต่างประเทศก็ตระหนักในเรื่องนี้เป็นอย่างดี จึงได้เริ่มปรับเปลี่ยนลายพรางจากเดิมเป็น ลายพรางแบบดิจิตอล ซึ่งมีคุณสมบัติในการพรางตัวจากเครื่องมือตรวจจับสมัยใหม่ได้ดีกันบ้างแล้ว สำหรับทบ.โดย พธ.ทบ.ได้จัดทำโครงการวิจัยผ้าสีพรางสำหรับตัดเย็บเครื่องแบบสนามลายพรางดิจิตอลขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าว นอกจากนี้ยังทำให้มีความคล่องตัวในการปฏิบัติภารกิจทางยุทธวิธีและเหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศภูมิอากาศของประเทศไทย อีกด้วย

โครงการวิจัยผ้าสีพรางฯ ของ ทบ. มีขั้นตอนสำคัญโดยสรุป คือ เริ่มจากการถ่ายภาพภูมิประเทศที่กำลังพลต้องเข้าไปปฏิบัติหน้าที่จริงในทุกภาคของประเทศไทย แล้วนำมาหาปริมาณค่าเฉลี่ยของสีด้วยคอมพิวเตอร์ โดยหนึ่งเนื้อสีที่ได้จะถูกแบ่งออกเป็นค่าสีสำหรับใช้ในการพิมพ์ที่เกิดจากการผสมสี 4 สี คือ C (Cyan:สีฟ้าเขียว) M (Magenta: สีแดงม่วง) Y (Yellow: สีเหลือง) และ B (Black:สีดำ) หลังจากได้ค่าเฉลี่ยของสีเรียบร้อยแล้วก็จะนำภาพของแต่ละแห่งมาทับซ้อนกันแล้วตัดต่อให้เป็นภาพเดียวกันด้วย Program Illustrator เพื่อให้ได้ภาพลายพราง ซึ่งหากเป็นการจัดทำลายพรางปกติก็ถือว่าเสร็จสมบูรณ์ในขั้นตอนนี้ แต่สำหรับลายพรางดิจิตอลจะต้องนำภาพที่ได้ไปปรับแต่งให้ออกมาเป็นลวดลายลักษณะBitmap (เป็นรูปสี่เหลี่ยม เรียกว่า Pixel ประกอบกันขึ้นเป็นรูปภาพ)ภาพลายพรางที่ได้จากการปรับแต่ง คือ ลายพรางดิจิตอล

กระบวนการต่อไปคือ การนำลายพรางดิจิตอลที่ได้ไปผลิตเป็นผ้าตัวอย่างหรือภาพตัวอย่าง เพื่อนำไปทดสอบคุณสมบัติการพรางตัว ว่าลวดลายและสีมีความกลมกลืนกับภูมิประเทศมากน้อยเพียงใด โดยทำการทดสอบทั้งในเวลากลางวันและกลางคืนที่ระยะต่างๆ คือ 10 เมตร, 50 เมตร, 100 เมตร, 200 เมตร และ400 เมตร อันเป็นระยะตรวจการณ์ ระยะความสามารถในการยิงและทำลายด้วยอาวุธสังหารบุคคลระยะความสามารถของเครื่องมือตรวจจับบุคคล (รังสี Infrared) เมื่อผลการทดสอบเป็นที่น่าพอใจแล้วก็จะผลิตผ้าลายพรางดิจิตอลขึ้นเพื่อตัดเย็บเป็นเครื่องแบบให้พวกเราสวมใส่อย่างภาคภูมิใจต่อไป

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถเข้าไปชม ชุดลายพรางของทหารประเทศต่างๆ เพิ่มเติม ได้ที่http://camo.henrikc.dk/all.asp

โดย พ.ต.ณัฐสิทธิ์ มงคลธรรม
วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม 2009

คำถาม

เขาออกแบบชุดพรางของทหารอย่างไร?

สังเกตดูลายสีเขียวสีน้ำตาลบนชุดพรางของทหารหรือบนรถถังจะไม่ค่อยเหมือนกัน ไม่ทราบว่าเขากำหนดแบบขึ้นมาเป็นพิเศษ หรือวาดมั่ว ๆ เอายังไงก็ได้ อภิสิทธิ์ กรุงเทพฯ
คำตอบ
ลายบนชุดพรางหรืออุปกรณ์ทางทหารอื่น ๆ ไม่ได้สักแต่ว่าทำขึ้นมาอย่างไม่มีแบบแผน ที่สหรัฐอเมริกา คนหลายคนหา
เลี้ยงชีพด้วยการออกแบบลายและสีของชุดพรางเหล่านี้ นักประวัติศาสตร์คนหนึ่งที่ศูนย์ประวัติศาสตร์ทางทหารของกองทัพสหรัฐเคยกล่าวไว้ว่า ถ้าเป็นแบบธรรมดาทั่ว ๆ ไป ก็ไม่เรียกว่าชุดพราง
ตัวแปรสำคัญที่สุดสองตัวแปรที่ใช้ในการออกแบบลายพราง  คือ  เฉดสีและลักษณะของลาย การพรางกองทัพในทะเลทรายและในป่าต้องใช้สีสันที่แตกต่างกัน ส่วนลักษณะของลายมีความสำคัญมากในการออกแบบวัตถุใหญ่ ๆ เช่น รถทหารนายเทอร์รี  คัมเมอร์ฟอร์ด นักเคมีวิจัย ซึ่งทำหน้าที่ทดสอบลายพรางสำหรับเครื่องแบบที่ใช้ในสงครามเล่าว่า สีของลายพรางพัฒนาขึ้นมาจากตัวอย่างและรูปภาพของดินในแต่ละบริเวณ
นักวิจัยใช้กล้องวีดิทัศน์ และเครื่องมือวิเคราะห์ผืนดินซึ่งออกแบบและเป็นลิขสิทธิ์ของกองทัพสหรัฐฯ  ถ่ายภาพพื้นดินแถบที่ต้องการ  และส่งข้อมูลสีเข้าไปในคอมพิวเตอร์  การวิเคราะห์นี้ละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ  คอมพิวเตอร์สามารถระบุสีนานาของใบไม้บนต้นไม้ และเฉดสีที่ต่างกันของเปลือกไม้ได้จากนั้นโปรแกรมที่คิดขึ้นมาเป็นพิเศษจะแยกแยะผืนดินออกเป็นห้าสีห้าแบบที่เด่นชัด
ลายพรางสามารถสร้างขึ้นมาจากสองสีสี่แบบ  หรือสี่สีสองแบบ  แล้วแต่ความต้องการของกองทัพ  บ่อยครั้งที่กองให้คอมพิวเตอร์ออกแบบตัวอย่างชุดพรางมาหลาย ๆ แบบ แล้วนำไปทดสอบใช้ เพื่อดูว่าพรางได้มากน้อยแค่ไหน
ในปัจจุบัน กองทัพสหรัฐฯ มีชุดพรางสำหรับการรบทั่วไปสองชนิด  คือ  สำหรับรบในป่า และรบในทะเลทราย ส่วนชุดพรางสำหรับเขตขั้วโลกเหนือนั้นเป็นชุดสีขาวล้วนนอกจากนี้ยังมีแบบสำหรับพรางยานพาหนะทางทหารด้วยลายพรางยานพาหนะใหญ่ ๆ มักวาดด้วยมือ ในขณะที่ลักษณะลายของชุดพรางมักเป็นดวง ๆ ปื้น ๆ ลายพรางของเรือรบมักเป็นรูปเรขาคณิต ทั้งนี้เพื่อเลียนแบบเหลี่ยมมุมของคลื่นในมหาสมุทร
ที่มา : Guru.sanook.com



                                                                 ที่มา : www.pantip.com


ความรู้เกี่ยวกับชุดลายพราง
ลายพรางแต่ละแบบ แต่ละหน่วย
ลายพรางประเทศในแถบเอเชีย


A-TACS ลายพราง แนวคิดใหม่




การสร้างลายพราง (Camouflage) ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อประโยชน์ทางยุทธวิธีในสงคราม เป็นศาสตร์และศิลป์ของการซ่อนเร้นอำพรางตัวและอุปกรณ์ ให้รุกรบได้ประชิดและลวงตาศัตรูได้มากที่สุด ลายพรางในปัจจุบันยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อหาสิ่งที่เข้าใกล้และกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม ของพื้นที่การรบเป้าหมายให้ดียิ่งขึ้น

ลายพรางที่เรารู้จักกันดี ได้แก่ พราง Woodland ซึ่งเป็นพรางที่มีเฉดสีใกล้เคียงธรรมชาติ เช่น สีเขียวใบไม้ ผสมสีน้ำตาลและดำ, พรางทะเลทราย Desert Camo เป็นพรางที่พื้นสีส่วนมากจะเป็นสีน้ำตาลอ่อน หรือที่เราเรียกว่าสีทราย และมักจะมีรูปทรงอื่นๆในผืนผ้า, พราง ACU เป็นพรางติจิตอลสีเขียวอมเทา ของกองทัพบกสหรัฐฯ, พราง Multicam ซึ่งคิดค้นโดยบริษัท Crye Precision และล่าสุดที่วันนี้ผมจะขอกล่าวถึง คือ ลายพราง A-Tacs ครับ

ลายพราง A-TACS® (Advanced TActical Concealment System) ซึ่งเป็นลายพรางล่าสุด ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย Digital Concealment System (DCS) เพื่อตอบสนองความต้องการลวดลายที่ดีขึ้น และใช้งานได้ดีกว่าลวดลายที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติภารกิจทางทหาร และผู้รักษากฎหมาย (Law Enforcement)

ลายพราง A-TACS® ออกแบบขึ้นมาให้มีลวดลายที่เป็นสากล โดยเน้นให้เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศที่หลากหลาย ด้วยการเพิ่มเฉดสีและรูปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนเข้าด้วยกัน

ลายพราง Digital สมัยใหม่หลายรูปแบบที่ใช้กันอยู่ในกองทัพและทั่วๆไป ถูกวิจารณ์ในเรื่องของข้อบกพร่องของสี และรูปทรงของลาย โดยส่วนมาก ลายพราง Digital ประกอบขึ้นด้วยสี่เหลี่ยมเรขาคณิตขนาดเล็กจำนวนมาก ซ้อนทับให้เกิดลวดลายพราง ทรงสี่เหลี่ยมมุมเช่นนี้ ไม่มีอยู่ในธรรมชาติ ทำให้ไม่สารมารถลอกเลียนรูปทรง และแสงเงาของสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวได้ดีนัก



และในบางสถานการณ์ รูปทรงสี่เหลี่ยมที่เป็นมุม 90ํ จะไม่กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมทั่วไป ทำให้เป็นที่สังเหตุได้ง่ายยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น การออกแบบลาดเหลี่ยมทับซ้อนในรูปแบบเดียวกันนี้ ทำให้มองคล้ายกับเป็นสีพื้นสีเดียว และดูเหมือนจะเป็นรอยเปื้อน เมื่อมองจากระยะไกล

ซึ่งลายพราง A-TACS® ได้พัฒนาเพื่อลดจุดอ่อนหลักๆ ที่พบได้ทั้ง 3 ประการในลายพรางทั่วไป

1. ทดแทนลายสี่เหลี่ยมที่ไม่เป็นธรรมชาติ ด้วยรูปทรงลวดลายแบบธรรมชาติ และเฉดสีที่ออกแบบขึ้นมาใหม่โดยวิธีการจำลองสีขององค์ประกอบจากธรรมชาติ และควบคุมความเข้มของแสงอย่างพิถีพิถัน ลวดลายที่ถูกสร้างขึ้นเรียกว่า “organically-shaped” ใช้ขั้นตอนทางคณิตศาสตร์ ในการเขียนลายด้วยข้อมูลสีที่ถูกเลือกมาโดยเฉพาะใส่เข้าไป ลวดลายที่สำเร็จออกมา ถึงจะเป็นลวดลายแบบดิจิตอล แต่ลายพรางจะดูเป็นธรรมชาติ แตกต่างจากพรางดิจิตอลแบบดั้งเดิมโดยสิ้นเชิง

2.ใช้รูปทรงของลายขนาดเล็ก จะให้รายละเอียดกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมมากขึ้น เพื่อสร้างความแตกต่างจากลายดิจิตอลแบบเดิม ซึ่งเป็นรูปเรขาคณิตที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ โดยที่รูปทรงขนาดเล็กรวมกันเป็นรูปทรงขนาดใหญ่ และรูปทรงขนาดใหญ่ จะถูกจัดวางในรูปทรงที่แตกต่าง โดยจะไม่มีเส้นแนวนอนและแนวตั้งให้เห็นเด่นชัด โดยใช้แนวความคิด pattern within a pattern” ทำให้ A-TACS® ช่วยลดความชัดเจนของรูปทรงของร่างกายมนุษย์ในการมองจากระยะไกล

3. เลือกใช้ color-range ที่เหมาะสม เพื่อระบบการพรางตัวที่ดีขึ้น เฉดสีของ A-TACS® เลือกใช้การผสมผสานของ color-range ที่เป็นธรรมชาติ มากกว่าที่มีการใช้ในปัจจุบัน เฉดสีพื้นฐานของลวดลายเป็นสีน้ำตาลทราย (Tan) ซึ่งเป็นการออกแบบมาเพื่อใช้กับภารกิจในที่โล่ง, พื้นที่ภูเขาและสภาพภูมิอากาศที่แห้งแล้ง รูปทรงอิสระและซับซ้อนแต่ดูเป็นธรรมชาติ ทำให้ลวดลายนี้มีความเป็นเอกลักษณ์ชัดเจน ง่ายต่อการปรับใช้ในภารกิจ และหน่วยงานที่หลากหลาย และยังเป็นลวดลายที่ยากในการลอกเลียนอีกด้วย

ที่มา : www.safehouse.co.th



Best Camouflage Pattern




ลายพรางแต่ละแบบ





















ลายพรางแบบเดิม กับลายพรางเป็นดิจิตัล มันแตกต่างกันมั้ยครับ ?
ต่างกันครับ รูปด้านล่างขวามือ เป็นลายพรางแบบเดิมเรียกว่า Woodland เป็นลักษณะการพรางตัวตามป่า ธรรมชาติ มีพื้นหลังทึบเน้นเป็นสีเขียว ส่วนซ้ายมือเป็นลายพรางดิจิตอล เป็นการนำลายพรางแบบเดิมมาปรับปรุงใหม่ โดยขยายพิกเซลทำให้ยากต่อการตรวจจับ มีหลายลายเช่นกัน ความแตกต่างลักษณะง่ายๆคือ ลายพรางแบบเดิมจะเป็นลายทึบกว่า ส่วนลายดิจิตอลจะเป็นลายแตกๆเหมือนเม็ดพิกเซลแตกๆ ทั้งนี้เพื่อลดการตรวจจับจากกล้องดิจิตอลเป็นหลักครับ



แรกเริ่มเดิมทีลายพรางดิจิตอลนั้นเริ่มใช้ในกองทัพสหรัฐครับ โดยมีการเริ่มวิจัยอย่างจริงจังหลังการรบในอิรักและอัฟกานิสถาน โดยลายพรางดิจิตอลที่ใช้ในกองทัพสหรัฐเรียกว่า ACU ต่อมามีการปรับปรุงและใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น ปัจจุบัน ลายพรางดิจิตอลเรียกว่า MultiCam หรือ พหุทัศนีย์ (พรางตัว) เป็นชุดที่โดยผ่านการปรับแต่งโดยคอมพิวเตอร์และทดสอบในสภาพแวดล้อมจริงของพื้นที่ต่างๆเช่น ทะเลทราย,ป่าฝน,ภูเขาหิน,ทุ่งหญ้าเป็นหย่อมๆ ฯลฯ

รูปด้านล่างจะเห็นว่าชุดลายพรางดิจิตอลมีความกลมกลืนกับธรรมชาติได้ดีกว่าชุดลายพรางแบบเก่าครับ

ในกองทัพบกของไทย ก็เริ่มนำชุดลายพรางดิจิตอลมาใช้แล้วด้วยเช่นกัน แต่ในบางพื้นที่(เช่นในป่าทึบ) ชุดลายพรางแบบเดิม Woodland ก็ยังคงมีความจำเป็นต้องใช้อยู่

ส่วนรูปด้านล่างนี้คือชุดลายพรางแบบดิจิตอลที่ประยุกต์ใช้กับสภาพแวดล้อมได้ดีทีเดียวครับ






   ชุดหิมะ (lumipuku)


Finn Sniper (Tarkka-ampuja)




ตัวลายพรางมีความจำเป็นตามลักษณะภูมิประเทศที่เข้าทำภารกิจ ลายพรางนั้นจะได้ผลหรือไม่ได้ผลขึ้นอยู่กับความเหมาะสมครับ ตามที่พี่ๆ หลายท่านในที่นี้ได้ยกตัวอย่างมาให้ดูแล้ว เสื้อลายพรางมีผลกับการพรางตัวจริงๆ ครับ ยกตัวอย่างเช่น woodland เป็นพรางที่เหมาะกับสภาพป่าดิบชื้น เพราะลายของ woodland เลียนแบบมาจาก "รา" ชนิดหนึ่งที่มักจะขึ้นอยู่ตามผิวของต้นไม้ในเขตป่าดิบชื้น ผมเคยพิสูจน์มาแล้วกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ โดยปกติพี่ๆ เจ้าหน้าที่จะใส่พรางที่เป็นลายเฉพาะของกรมป่าไม้ แต่พอดีวันนั้นมีน้องชายของพี่เจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งใส่ woodland ปกติไปพอดี เราเลยคิดจะลองของกัน โดยให้ผมหันหลัง แล้วให้พี่ท่านนั้นเดินตรงเข้าไปในหมึต้นไม้ ระยะห่างจากผมประมาณ 20 เมตร แล้วให้ผมหันกลับมาดู ปรากฏว่าสิ่งที่ผมเห้นนั้นมีแต่ต้นไม้เท่านั้น จนพี่ท่านนั้นขยับตัวผมถึงเห็นการเคลื่อนไหวและรู้ว่าพี่แกอยู่ตรงไหน

แต่นอกเหนือจากตัวลายแล้วเทคโนโลยีเรื่องเนื้อผ้าและสารเคลือบผิวก้เป็นสิ่งสำคัญเช่นกันครับ ถ้าพี่ๆ ท่านใดหาตัวอย่างเรื่องสารเคลือบผ้าได้ก้ฝากด้วยนะครับ เสื้อผ้าลายพรางที่เราๆ ซื้อมาใส่กันเล่นๆ กัน ถึงแม้จะมีลายแบบเดียวกันกับทหารที่เขาใส่ๆ กัน แต่ในทางการทหารจริงๆ แล้วชุดที่ใช้ในการทำภารกิจจริงๆ นั้นจะมีการเคลือบสารพิเศษที่ทำให้มองไม่เห็นในที่มืดด้วย (เหมือนกับห้าคลุมล่องหนของแฮรี่ พอตเตอร์อ่ะครับ) ก่อนหน้านี้ผมได้มีโอกาสได้เข้าไปงานแสดงเทคโนโลยีทางยุทโธปกรณ์ ได้เห็นมากับตาจริงๆ ครับ และที่สำคัญเป็นการพัฒนาสารเคมีของทางกองทัพไทยเองด้วยครับ โดยการทดสอบที่ผมเห็นมาเขาจะปิดห้องเป็นห้องมืดและจำลองสิ่งแวดล้อมเป็นป่า และใช้หุ่น 2 ตัวยืนอยู่คู่กัน ตัวแรก ใส่พราง digital woodland แบบไม่มีสารเคลือบ อีกตัวใส่ digital woodland เหมือนกันแต่เป็นแบบเคลือบสาร ตอนแรกจะเปิดไฟสว่างให้เห็นทั้งห้อง และหุ่นทั้ง 2 ตัว ซึ่งก้แทบจะมองไม่เห็นอยู่แล้ว เพราะกลืนไปกับสิ่งแวดล้อมมากๆ และหลังจากนั้นปิดไฟ และใช้กล้อง IR ส่องไปที่หุ่นทั้ง 2 ตัว ปรากฏว่า ในกล้อง IR มองเห็นเพียงแค่หุ่นตัวเดียวคือตัวที่ใส่ digital woodlnd แบบไม่เคลือบสาร ส่วนตัวที่ใส่แบบเคลือสารกลืนหายไปกับความมืดเลยครับ